Tuesday, May 28, 2013

บทสัมภาษณ์ ดร.นิเวศน์ หัวข้อจิตวิทยาการลงทุนในงานEXPO 12พค2013


รู้จิตวิทยาการลงทุน เล่นหุ้นทันตลาด
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนหุ้นคุณค่า
คุณพิชัย จาวลา
เจ้าของผลงานหนังสือ"รวยหุ้นล้นฟ้า ด้วยระบบคิดใหม่"และ"เศรษฐศาสตร์แห่งความจ
­ริง"

ผลประกอบการของ TRUE จ่ายดอกเบี้ยบานเบอะ


ไม่รู้ปีไหนจะกำไร จะได้ จ่ายปันผล ได้สัดที แต่ราคาหุ้น ขึ้นสวน ผลประกอบการ ตลอด
ผู้ซื้อเขาคิดว่า ผลประกอบการ มันจะพลิกทำกำไร ได้อย่างไร เมื่อใด จาก หนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย 2003 = 58,631.285
ตอนนี้ หนี้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย 2012 = 117,989.809 จ่ายดอกเบี้ยปี 2012 = 6,154.422
อัตราดอกเบื้ย 5.22% ส่วนเกินผู้ถือหุ้นติดลบ -76,056.778 กำไรสะสมติดลบ -56,743.700
ผู้ถือหุ้นเก่าจะตัดขาดทุนโดย ลดทุุนลดพาร์เพื่อเอา ส่วนเกินผู้ถือหุ้นที่ติดลบอยู่แล้ว
มาลด กำไรสะสมที่ติดลบ ก่อนการเพิ่นทุน เหมือน BTS ก็ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร ละ ที่นี้
ผมว่าขอศาลล้มละลายให้ศาลช่วยประนอมหนี้ ให้เจ้าหนี้ทำแฮร์คัดและแปลงหนี้เป็นทุน ถ้าจะดีนะ อิอิ
เบื้ยวหนี้มันซะเลย ไหนๆก็จ่ายดอกให้ตั้งเยอะแยะแล้ว เป็นลูกหนี้ที่ดี ต้องจ่ายดอกทุกบาททุกสตางค์
แต่เป็นลูกหนี้เสียได้แฮร์คัด ให้เจ้าหนี้เงินกู้ ตัดขาดทุนดอกเบี้ยเสียบ้าง ไม่ดีกว่าหรือ

เพราะ “ง่าย” จึง “ชนะ”

โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช
คนบางคนชอบทำอะไรให้ยากๆ เพื่อให้ตัวเองดูเก่ง ดู “มีภูมิ”
เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีประสบการณ์เหมือนกัน สมัยเรียนมหาวิทยาลัย อาจารย์บางคนเป็นด็อกเตอร์ เป็นศาสตราจารย์  ดีกรีทางวิชาการสูงส่ง แต่สอนไม่ค่อยรู้เรื่อง ใช้ศัพท์แสงอะไรแต่ละอย่าง ฟังแล้วไม่เข้าใจ เหมือนแกอยู่บนหอคอยงาช้าง แต่ก็ดูท่าทางแกจะภูมิใจที่คนฟังแกไม่เข้าใจ
ในขณะที่อาจารย์บางคน ไม่ใช่ด็อกเตอร์ ไม่ได้มีคุณวุฒิวัยวุฒิอะไรมากนัก แต่สอนสนุก เข้าใจง่าย แถมยังคุยได้ ปรึกษาได้ ไม่น่ากลัว แบบนี้เด็กชอบ
ดูพวกติวเตอร์ดังๆ สิครับ คนพวกนั้นรวยขึ้นมาเป็นร้อยล้านพันล้านได้อย่างไร? เป็นเพราะพวกเขาใช้ศัพท์แสงหรูๆ ที่ต้องปีนบันไดฟังหรือเปล่า? … เปล่าเลย ที่พวกเขารวยได้ เพราะสามารถสอน“เรื่องยาก” ให้กลายเป็น “เรื่องง่าย” ต่างหาก
จะเห็นได้ว่า แม้โลกวิชาการ จะให้รางวัลกับคนที่ทำ “เรื่องง่าย” ให้เป็น “เรื่องยาก” แต่ในโลกธุรกิจ “ผู้ชนะตัวจริง” คือคนที่ทำให้ชีวิตของคนอื่น “ง่ายลง”
สมัยก่อน คอมพิวเตอร์เคยเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับคนส่วนใหญ่ หน้าจอดำๆ มีตัวหนังสือ-ตัวเลข วิ่งไปวิ่งมาเต็มไปหมด จะใช้งานอะไรก็ต้องคีย์คำสั่งเป็นคำๆ
แต่แล้ว ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ของไมโครซอฟท์ ได้ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นอะไรที่ Friendly ขึ้นมาก จากหน้าจอดำ กลายเป็นกราฟฟิคสีสวยๆ มีภาพ Icon เห็นแล้วก็เข้าใจได้ทันทีว่าโปรแกรมไหนใช้ทำอะไร
การ “ปลดล็อค” ให้คนเลิกกลัวคอมพิวเตอร์นี้เอง ทำให้ ทำให้บิล เกตส์ กลายเป็นอภิอัครมหาเศรษฐีจนถึงทุกวันนี้
ฝ่าย Apple คู่แข่งของไมโครซอฟท์ ที่ร่ำรวยจนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization หรือ Market Cap.) อันดับต้นๆ ของโลกได้ ก็เพราะผลิตภัณฑ์อย่าง Mac, iPhone, iPad ล้วน “ใช้ง่าย” มีสไตล์ (แต่ iTune นี่ คนโลว์เทคอย่างผมไม่ชอบนะ ขอ Copy-Paste อย่างเดียวได้มั้ย แหะๆ)
หรืออย่างห้าง Wal-Mart หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก (ติดอันดับ 1-2 ของ Fortune 500 มา หลายปี) ที่รวยได้ขนาดนี้ ก็เพราะรู้จักเอาของกินของใช้มาขายราคาถูกๆ รวมกันอยู่ที่เดียว ซื้อหากันได้ง่ายๆ ไอเดียจากมันสมองของคุณทวด แซม วอลตัน ทั้งนั้น
แล้วเมืองไทยเราล่ะครับ มีธุรกิจอะไรเป็นตัวอย่างที่ดีได้บ้าง?
ที่นึกออกตอนนี้ คือ 7-11 ร้านสะดวกซื้อที่ทำให้ชีวิตเราง่ายมาก เดินเข้าไปซื้อของตอนตี 1 – ตี 2 ก็ได้ หยิบเลือกได้ตามสบาย ไม่ต้องโดนอาแปะมองค้อนเอาเหมือนร้านโชห่วยสมัยก่อน
หรืออย่าง โฮมโปร ทำให้เราซื้ออุปกรณ์ในบ้านได้ง่ายๆ ทุกอย่างมารวมกันอยู่จุดเดียว จะซื้อราวตากผ้าก็มี ซื้อตู้เย็นก็มี เดี๋ยวนี้เรียกมาล้างแอร์ ล้างเครื่องซักผ้าที่บ้านยังได้เลย ไม่แพงด้วย
หรือไม่อย่างนั้น ดูหนังสือขายดีแต่ละเล่มสิครับ ไม่ใช่หนังสือวิชาการที่คนเขียนไอคิว 180 อะไรเลย แต่เป็นหนังสือที่ “อ่านง่าย” ด้วยกันทั้งนั้น
rich dad1-2อาทิ หนังสือชุด “Rich Dad” ของโรเบิร์ต คิโยซากิ ที่ขายดีถล่มทลายไปทั่วโลก (ผมเองก็มีส่วนร่วมแปลหนังสือชุดนี้เป็นภาษาไทยด้วยนะ อิอิ) ทั้งๆ ที่หลายคนมองว่าตัวโรเบิร์ตเองเป็นคนเขียนหนังสือไม่เก่ง ใช้ภาษาก็ง่ายจนไม่น่าจะเอามาเขียนเป็นหนังสือได้ แต่ “ความง่าย” นั้น คือสิ่งที่คนชอบ เมื่อบวกกับไอเดียที่โดนใจ หนังสือของเขาจึงขายได้กว่า 25 ล้านเล่ม ติดอันดับหนังสือขายดีที่สุดตลอดกาลไปแล้ว
(แต่ในวงการหนังสือบ้านเรา ต้องระวังพวกง่ายแต่ “มั่ว” หรือพวกง่ายแต่ “กลวง” ด้วยนะครับ ยิ่งพวกชอบก็อปของชาวบ้านมา ยิ่งต้องระวังให้หนัก เดี๋ยวนี้มีเยอะมาก)
แม้แต่สุดยอดนักลงทุนโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เหตุที่คนทั่วโลก โดยเฉพาะวีไออย่างเราๆ ชื่นชอบแก นอกจากเรื่องของความสำเร็จในการลงทุนแล้ว น่าจะเป็นเพราะปู่บัฟฟ์เป็นคนประเภทที่ พูดอะไรก็เข้าใจ “ง๊ายง่าย” เปรียบเทียบอะไรแต่ละอย่างนี่ เห็นภาพลอยชัดขึ้นมาเลยทีเดียว
จากทั้งหมดที่ได้กล่าวมา ผมขอสรุปออกมาเป็นหลักในการเลือกซื้อหุ้นของวีไอเพียงข้อเดียว แต่เป็นหลักที่ใช้ได้เสมอ ใช้ได้ตลอดกาล นั่นคือ…
จงมองหาบริษัทที่ทำให้ชีวิตของผู้คน “ง่ายลง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้า “ความง่าย” นั้น เป็นสิ่งที่บริษัทอื่นๆ “ยากที่จะทำได้” นั่นยิ่งเยี่ยมเลย
อย่างธุรกิจที่ทำให้เราซื้อข้าวเหนียวหมูย่างหรือซาลาเปาหมูสับได้ตอนตี 2 หรือธุรกิจที่ทำให้เราซื้อเตาแก๊สกับไม้แขวนเสื้อได้ในที่เดียวกัน ดังได้ยกตัวอย่างไปแล้ว เป็นต้น
สุดท้ายที่ต้องฝากไว้ก็คือ ท่านอย่าเข้าใจผิดว่าการทำอะไรๆ ให้ง่ายนั้น เป็น “ของหมูๆ”  นะครับ …ไม่ใช่เลย
การทำ “เรื่องยาก” ให้เป็น “เรื่องง่าย” เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายาม ต้องทุ่มเท โดยตัวเราเอง หรือตัวผู้บริหารบริษัท ต้อง “คิดให้มากๆ” ว่าจะทำอย่างไรให้มันง่าย
ถ้าใคร หรือบริษัทไหน ยอมทำในสิ่งที่ “ยาก” เพื่อให้ชีวิตของผู้คนทั่วไป “ง่าย” รับรองว่าความสำเร็จ เงินทอง อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เรียกว่า เพราะ “ง่าย” จึง “ชนะ” นั่นเองครับ

ลงทุนปีละหมื่นเป็น’เศรษฐีร้อยล้าน’ได้

ลงทุนปีละหมื่นเป็น’เศรษฐีร้อยล้าน’ได้
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นทุกคนต่างหวังที่จะ”รวย”ด้วยกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ต้องการรวยเร็ว ยิ่งเร็วยิ่งดี ยิ่งต้องไม่ต้องใช้ความคิดมากหรือศึกษาหาความรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบกันมากขึ้นเท่านั้น นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จึงมักตกเป็นเหยื่อของนักลงทุนรายใหญ่ที่สร้างราคาหุ้นหรือปล่อยข่าวลือต่างๆเพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนรายย่อยที่อยากรวยเร็วแต่ไม่ชอบค้นคว้าเหล่านั้นตกเป็นเหยื่อของเกมตลาดหุ้น จนทำให้หลายคนถึงกับถอดใจและมีทัศนคติที่ไม่ดีกับตลาดหุ้นคิดว่าเป็นแหล่งพนันบ้าง เป็นแหล่งหลอกลวงเงินบ้างเป็นต้น

แต่สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้ว การมองตลาดหุ้นเป็นแหล่งลงทุนของเงินที่เก็บสะสมไว้เพื่อวันข้างหน้าจะช่วยให้มีทัศนคติที่ดีต่อตลาดหุ้น หลายคนเคยน้อยใจว่ามีเงินแค่เล็กน้อยคงไม่สามารถลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้ เพราะได้ผลตอบแทนน้อยและใช้เวลานานเกินไป ซึ่งความเป็นจริงการเก็บเงินแค่ปีละ 14,000 บาทและนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 20 เปอร์เซนต์จะสามารถทำเงินในพอร์ตให้เติบโตได้ถึงร้อยล้านบาทได้เลยทีเดียว

สิ่งสำคัญคือการทำผลตอบแทนให้ได้อย่างสม่ำเสมอและระยะเวลาที่นานพอ นักลงทุนที่มุ่งมั่นสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับปีละ 20 เปอร์เซนต์ได้โดยการคัดเลือกหุ้นที่มีผลการดำเนินการที่ดี ผู้บริหารโปร่งใสและราคาหุ้นไม่สูงจนเกินไปนัก มีส่วนต่างความปลอดภัยหรือ Margin of Safety พอสมควร เมื่อบริษัทดำเนินกิจการให้เติบโตขึ้น ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวตามผลประกอบการที่ดีขึ้นในอนาคตได้โดยนักลงทุนไม่ต้องซื้อๆขายๆหุ้นบริษัทที่ดีเหล่านั้นตลอดเวลา รวมถึงการเลือกบริษัทที่สามารถจ่ายปันผลได้ในระดับที่สูงจะช่วยให้ผลตอบแทนในการลงทุนเพิ่มขึ้นได้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง

นอกเหนือจากนั้นระยะเวลาในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้เงินลงทุนเพิ่มขึ้น ยิ่งระยะเวลามากเท่าไหร่ ผลตอบแทนจากการลงทุนจะสูงขึ้นมากเท่านั้น อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ถึงกับบอกว่า”อัตราผลตอบแทนทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก” หลายคนไม่เชื่อว่าการเก็บเงินปีละ 14,000 บาทและนำไปลงทุนจะสามารถทำเงินได้เป็นร้อยล้านบาทได้

เรามาดูยอดเงินสะสมจากการลงทุนปีละ 14,000 บาท โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 20% ทบต้นไปเรื่อยๆในปีต่างๆ

- ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท
- ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท
- ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท
- ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท
- ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท
- ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท
- ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท
- ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท

จะเห็นว่าการทำเงินหนึ่งล้านบาทในปีหลังๆใช้เวลาน้อยกว่าการหาเงินหนึ่งล้านบาทแรกมาก นักลงทุนต้องเข้าใจว่าการสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ดังนั้นภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล ต้องคิดว่านี่เป็นการ “วิ่งมาราธอน” ไม่ใช่ “วิ่งร้อยเมตร” สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว แต่ทุกวันนี้พวกเราตกอยู่ภายใต้กระแสของ “อาหารจานด่วน” ทุกเรื่องเน้นที่ความรวดเร็วและประสิทธิผล เวลาทานอาหารต้องรับประทานอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด ส่งจดหมายต้องใช้บริการด่วนพิเศษ ขับรถต้องขึ้นทางด่วน แม้แต่การศึกษายังใช้วิธีเรียนลัด คนส่วนมากหวังผลทันตาเห็น จึงกลายเป็นรีบร้อนเร่งด่วน ขาดซึ่งความอดทน แม้แต่การลงทุนสร้างฐานะก็ไม่มีข้อยกเว้น

ความเป็นจริงการลงทุนสร้างฐานะนั้นต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง จะเกิดความร้อนใจ พอร้อนใจมักทำเรื่องเสี่ยงๆ ฉะนั้น แทนที่จะพบกับความสำเร็จ กลับกลายเป็นล้มเหลว ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างอื่น อาจเร่งความเร็วได้ แต่การลงทุนสร้างฐานะเร่งเร็วไม่ได้ เพราะ “เวลา” เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างตัว ยิ่งเร่งเร็วยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งส่วนมากจะ “เลิกล้มกลางคัน” เมื่อเจอกับเงื่อนไขเวลา เกิดความท้อถอย พาลขายหุ้น ขายอสังหาริมทรัพย์ เดินออกจากตลาดหุ้น หารู้ไม่ว่าการขาดความอดทนและความตั้งใจ ยากจะพบกับความสำเร็จได้

จะเห็นว่าถ้านักลงทุนมีระยะเวลาในการลงทุนนานเพียงพอและทำผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ เงินเก็บแค่ปีละหมื่นกว่าบาทสามารถทำผลตอบแทนได้เป็นร้อยล้านเลยทีเดียว หลายคนอาจมองว่าระยะเวลา 40 ปีนั้นนานเกินไป อย่าลืมว่าในตัวอย่างนั้นเก็บเงินแค่ปีละหมื่นสี่เท่ากันทุกปีหรือเดือนละ 1,666 บาททุกเดือน ดังนั้นถ้านักลงทุนสามารถเก็บเงินได้เพิ่มขึ้นระหว่างทางหรือทำผลตอบแทนได้มากขึ้นในแต่ละปี การทำเงินร้อยล้านบาทสามารถใช้เวลาที่น้อยลงไปได้มาก ฝันที่จะเป็น”เศรษฐีร้อยล้าน”ในชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

Friday, May 24, 2013

วิธีการประเมินมูลค่าหุ้น

วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นแบ่งได้เป็น

1. DCF – Disc Cash Flow เหมาะสำหรับบริษัทที่มีการเติบโตที่ชัดเจน รายได้และกำไรสม่ำเสมอไม่แกว่งตัว
2. อัตราส่วนมูลค่าเปรียบเทียบ เช่น PER, PEG, PCF, PBV, EV/EBITDA ใช้ได้กับบริษัทโดยทั่วไป ส่วน EV/EBITDA เหมาะสำหรับบริษัทกลุ่มเดินเรือ ปิโตร โรงพยาบาล โรงแรม
3. Dividend Disc Model (อันนี้ผมไม่แม่น ต้องให้กูรู มาช่วยเสริมครับ)
4. อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) เหมาะกับบริษัทที่เติบโตน้อย แต่มีกระแสเงินสด และจ่ายปันผลสม่ำเสมอครับ

 *หุ้นที่มีความสามารถทำกำไรสูง ส่วนมากจะเทรดกันที่ราคาแพง

*ถ้าจะดู ROE ของบริษัท ต้องดูด้วยว่า บริษัทมีหนี้เยอะหรือไม่

*วิธีการประเมินมูลค่าหุ้นแต่ละวิธี เหมาะสมกับประเภทและกลุ่มของอุตสาหกรรมนั้นๆ
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเบื้องต้น ต้องคำนึงถึงแนวโน้มรายได้ และกำไรบริษัท ซึ่งมีหลายรูปแบบ
1. กำลังขยายตัว
2. ขยายตัวต่อเนื่อง
3. วัฐจักร
4. ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน


 การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเบื้องต้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนการลงทุน
1.รายได้และกำไร
2.แนวโน้มธุรกิจเป้าหมาย
3.ผู้บริหาร แนวความคิด ความน่าเชื่อถือ ประสบการณ์ และโอกาสความสำเร็จ
4.ฐานะการเงิน การลงทุน การจ่ายเงินปันผล หนี้สิน
5.มูลค่าหุ้นที่เหมาะสม

- อย่าเดาตลาด ทำตามระบบ เข้าใจตนเอง จึงจะเป็นสุดยอดเทรดเดอร์ -

วิเคราะห์หุ้น Technical Analysis


MACD (Moving Average Convergence Divergence)

เหมาะสำหรับดูวงจรหุ้นระยะสั้น-ปานกลาง (4-6 สัปดาห์) เป็นเครื่องมือที่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับราคา สามารถวัดระดับดีกรีของตลาดว่าเป็น Bull/Bear

ข้อเสียของ MACD คือ ให้สัญญาณซื้อขายที่ค่อนข้างช้า ควรนำเครื่องมืออื่นๆ มาช่วยประกอบการตัดสินใจนะครับ


*ข้อเสียของเส้นค่าเฉลี่ย คือ เมื่อช่วงเกิด Sideway เส้นค่าเฉลี่ยจะเกิดการหลอก ควรมองแนวโน้มให้ออกก่อนแล้วจึงใช้เส้นค่าเฉลี่ยยืนยันครับ


ระยะเวลาที่นิยมใช้สำหรับดูเส้นค่าเฉลี่ย
10วัน (สองสัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
25วัน (ห้าสัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
75วัน (สิบห้าสัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
200วัน (สี่สิบสัปดาห์) ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว

อันนี้คือโดยหลักการนะครับ ถ้าสังเกตหุ้นแต่ละตัว ความเหมาะสมสำหรับเส้นค่าเฉลี่ยจะแตกต่างกัน ค่าเฉลี่ยที่ใช้ที่ต่างกันจะให้ผลเรื่องความแม่นยำ กับความรวดเร็วของสัญญาณครับ
 


 แนวรับ หมายถึง ราคาหุ้นตกลงมาถึง ณ ระดับราคานี้ จะมีแรงซื้อดันไว้ให้ราคาหุ้นดีดตัวกลับ

แนวต้าน หมายถึง ราคาหุ้นขึ้นมาถึง ณ ระดับราคานี้ จะมีแรงขายกดไว้ให้ราคาหุ้น อ่อนตัวลงไปทุกที

อันนี้เหมือนง่ายนะครับ แต่ขอให้อ่านซ้ำอีกรอบ คุณจะเข้าใจว่า มันยากโคตร ยกตัวอย่างนะครับ อย่างแนวรับเนี่ย ผมเห็นคนเข้าไปรับมีดกันตรึม ส่วนแนวต้านเนี่ย ไม่ติดดอยก็ขายหมูกันเป็นส่วนใหญ่ เป็นต้น ครับ


เจาะเทรนด์ลึก “ลูกค้ายุคใหม่” Gen M ดังฝุด…ฝุด

เจนเอ็กซ์ เจนวาย เจนซี ต้องถอยไป...ถึงยุคของ มิลเลนเนียล เจนเนอเรชั่น หรือ Gen M ที่กำลังกลายเป็นกลุ่มลูกค้าสุดแจ่ม มาแรงสุดในยุคนี้ “ติดหนึบออนไลน์ บ้าแชต ขี้เบื่อ เห่อแบรนด์ ชอบแสดงตัวตน ไม่อยากซ้ำใคร” เป็นตัวอย่างนิยามของคน “เจนเอ็ม” กลุ่มเป้าหมายที่นักการตลาดต้องจับตา


จัดว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่ “มาแรง” และ “ท้าทาย” นักการตลาดยุคนี้ ถึงขนาดที่นิตยสาร Time ยังต้องหยิบเอา Gen M ขึ้นปกมาแล้ว ด้วยพฤติกรรมสุดเหวี่ยง ที่นักการตลาดต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เพื่อให้โดนใจคนกลุ่มนี้ที่เกิดมาพร้อมกับยุคสมาร์ทโฟน แชตตลอดเวลา ขาดเครือข่ายไม่ได้ แถมยังขี้เบื่อ ชอบอะไรใหม่ๆ แบบมาไวไปไว ไม่ภักดีกับแบรนด์ ชอบแสดงตัวตน ติดเพื่อน เห่อแบรนด์ และอยากรวยเร็วๆ



นักศึกษาปริญญาโท สาขาการตลาด รุ่น 14 B วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภควัยรุ่นยุค “Millennial Generation” หรือ Gen M ซึ่งเป็นผู้บริโภคที่เกิดระหว่างปี 2532 -2538 มีอายุระหว่าง 18-24 ปี มีทั้งกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีหรือโท และกลุ่มคนเริ่มทำงาน หรือ First Jobber ที่มีอายุงานไม่เกิน 4 ปี มีพฤติกรรมโดดเด่นจนน่าศึกษา



ที่สำคัญ สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า คนกลุ่มนี้มีจำนวนมากขึ้นถึง 14% ของประชากรไทย หรือประมาณ 8.96 ล้านคน



นอกจากนี้ปัญญาสมาพันธ์เพื่อการวิจัยความเห็นสาธารณะแห่งประเทศไทย 2551 ยังได้สำรวจค่าใช้จ่ายของวัยรุ่นกลุ่มนี้ พบว่า มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 5,000 -10,000 บาท ต่อคนต่อเดือน หรือคิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายคิดเป็น 44,800 ล้านบาท ต่อเดือน และคิดเป็น 537,000 ล้านบาท ต่อปี ในทางการตลาดถือว่าเป็นกลุ่มมีกำลังซื้อสูง และมีการจับจ่ายใช้สอยน่าสนใจ



เพราะไลฟ์สไตล์ของ “เจนเอ็ม” ใช้ชีวิตแบบ “ขาดเครือข่ายไม่ได้” เนื่องจากโตมาในยุคเทคโนโลยีเฟื่องฟู อยู่กับโลกออนไลน์เกิน 24 ชั่วโมง ทั้งการรับข่าวสาร และการใช้แอปพลิเคชั่นอย่างสนุกสนาน



ขณะเดียวกันผู้ที่ผ่านประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น ให้มุมมองเกี่ยวกับกลุ่ม “เจนเอ็ม” ว่า คนรุ่นี้จะกล้าคิดกล้าทำ แหวกแนว ล้ำสมัย อินเทรนด์ ดูดีมีสไตล์ สดใสไร้สิว แต่จุดอ่อนของคนรุ่นนี้ ใช้เงินเก่ง บ้าแชต ชอบตามกระแส เอาแต่ใจไร้เหตุผล ไม่เคารพผู้ใหญ่ ไม่อดทน ใช้ภาษาผิดเพี้ยน



หนุ่มสาวเจนเอ็ม มุ่งมั่นตั้งใจ ทันสมัย อยากรวย

ส่วนหนุ่มสาวเจนเอ็มมองตัวเองว่า เป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจ จริงใจ ทันสมัย เป็นตัวของตัวเอง ช้อป กิน เที่ยว ชอบแฟชั่น เล่นเกม เก็บออม อยากรวย แต่จุดอ่อน มักจะติดเพื่อน ขี้เบื่อ



ขณะสาวเจนเอ็ม ความสุขของพวกเธอคือการกิน แต่งตัว ไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่ใช้วิธีเล่นอินเทอร์เน็ต และออกไปพบปะกับผู้คนเพื่อหาความรู้ กล้องดิจิตอล และนาฬิกา คืออุปกรณ์สองชนิดที่ต้องพกติดตัวตลอดเวลา สนใจเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะอยากรวย อยากมีเงิน มีเงินใช้ก่อนแก่



ส่วนหนุ่มเจนเอ็มยุคนี้จะชอบออกกำลังกาย แฟนเป็นเรื่องสำคัญ และชอบเฮฮาอยู่กับเพื่อน สมาร์ทโฟนเป็นของคู่กายพกติดตัว ต้องดูดี มีสไตล์



สื่อจี๊ดโดนใจเจนเอ็ม

มาดูกันว่า “สื่อ” ไหนที่มีมีอิทธิพลกับคนเจนเอ็ม ปรากฏว่า ทีวี ยังมาแรงเป็นอันดับแรกมีสัดส่วน 40% รองลงมาคือเว็บไซต์ 26% และโซเชี่ยลมีเดีย 19% แม้ว่าสื่อทีวีจะยังมีบทบาทสูง แต่การที่คนกลุ่มนี้โตมาในยุคออนไลน์ การใช้สื่อใหม่จึงเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้



ส่วนสถานีโทรทัศน์ยอดนิยมของคนกลุ่มนี้ ช่อง 3 มาเป็นอันดับแรก ด้วยสัดส่วน 29% รองลงมาคือ เคเบิลทีวี 20% และช่อง 7 มีสัดส่วน 19%



ถ้าเป็นรายการคนเจนเอ็ม นิยมดูละครเป็นอันดับแรก โดยจะเลือกรับชมจากเนื้อหา ไม่ใช่เลือกดูพระเอกหรือนางเอก เพราะพวกเขาสามารถตามได้จากอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก แฟนเพจได้อยู่แล้ว ส่วนที่ไม่ชอบถึงขั้นเปลี่ยนช่องหนี คือ ละครที่นำเสนอเรื่องราวเกินจริง



รายการข่าวที่เปิดดูประจำ คือ ข่าวเช้า โดยจะเริ่มดูตั้งแต่ 6-9 นาฬิกา โดยจะเปิดทีวีทิ้งไว้ ฟังทีวีไปด้วยทำอย่างอื่นไปด้วย รายการโปรดจึงเป็นเรื่องเล่าเช้านี้ เพราะแค่ฟังก็เข้าใจได้ และอีกช่วงคือก่อนนอน 01.15 นาฬิกา ที่เจนเอ็มจะดูอย่างตั้งใจ



ส่วนรายการวาไรตี้ ชิงร้อยชิงล้าน ยังครองใจเป็นอันดับแรก แต่จะเลือกดูเฉพาะ ช่วงแก๊งสามช่าและตุ๊กกี้เป็นหลัก เช่นเดียวกับรายการทูไนท์โชว์ จะเลือกรับชมเฉพาะท่องเที่ยวต่างแดนเท่านั้น เพราะพาไปดูสถานที่แปลกใหม่



ส่วนรายการประเภทประกวดแข่งขันที่ชื่นชอบมากที่สุด ต้อง เดอะวอยซ์ รายการเดียวเท่านั้น



โฆษณาแบบไหนโดนใจเจนเอ็ม

เมื่อรู้จักสื่อและรายการที่คนเจนเอ็มชื่นชอบแล้ว คราวนี้มาดูโฆษณาที่โดนใจคนเจนเอ็ม



ต้องมีเพลงประกอบ เพื่อสร้างการจดจำให้กับคนเจนเอ็ม ตัวอย่างเพลงโฆษณาที่ติดหูคนเจนเอ็มเวลานี้ คือ มันฝรั่งเลย์ ที่มีญาญ่า อุรัสยา เป็นพรีเซ็นเตอร์ คนเจนเอ็มให้เหตุผลว่าเพลงประกอบไม่ได้กระตุ้นให้ซื้อทันที แต่เมื่อเข้าร้านสะดวกซื้อ เพลงเลย์จะผุดขึ้นมาในหัว ทำให้ต้องหยิบเลย์จ่ายเงินกลับบ้าน



จะเห็นได้ว่าสินค้าและบริการที่จับกระแสวัยรุ่น เจนเอ็มยุคนี้ ที่นอกจากใช้ดาราดังแล้ว ยังต้องออกแบบท่าเต้นและเพลงประกอบเพื่อสร้างการจดจำ คือโฆษณา ทรูมูฟ เอช ที่มีณเดชน์เป็นพรีเซ็นเตอร์ และล่าสุดแบรนด์วีต้า ที่ใช้ณเดชน์เป็นพรีเซ็นเตอร์ชายคนแรก ก็ใช้เพลงเป็นส่วนประกอบของหนังโฆษณา



สโลแกนต้องโดน ข้อความต้องสั้นกระชับ ทำให้จดจำได้ เช่น ลดพุง ลดโรค หรือ เลิกเหล้าเลิกจน ของ สสส. หรือ เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ ของจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เป็นสโลแกนที่คนเจนเอ็มจำได้ติดหูติดตา



เล่าเป็นเรื่องราว แต่โฆษณาที่นำเสนอเรื่องราวกินใจ เรียกน้ำตา อย่างโฆษณาของไทยประกันที่นำเสนอมาทีไร ก็ซึ้งใจกันคนเจนเอ็มที่จดจำเรื่องราวได้อย่างดี แต่ข้อเสีย คือ พวกเขาจดจำชื่อแบรนด์ไม่ได้ เป็นข้อควรระวังเจ้าของสินค้าและบริการ หากนำเสนอเรื่องราวยาวเกินไป คนเจนเอ็มจดจำแบรนด์ไม่ได้



ใช้พรีเซ็นเตอร์อย่างเดียวไม่ได้

การเลือกใช้ “พรีเซ็นเตอร์” เพียงอย่างเดียวอาจไม่สร้างการจดจำให้กับคนเจนเอ็มได้มากนัก จะต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ เช่น การใช้สีและประโยคที่เชื่อมโยงกับแบรนด์อย่างชัดเจน เช่น โฆษณายาแก้ปวดซาร่า ที่ให้ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต พรีเซ็นเตอร์สวมใส่เสื้อผ้าสีชมพู ซึ่งเป็นสีที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ และตอกย้ำด้วยประโยคสั้นๆ ทำให้คนเจนเอ็มเกิดการจดจำได้



สื่อออนไลน์

คนเจนเอ็มเกิดมาพร้อมกับโลกออนไลน์ ดังนั้น “กูเกิล” เป็นเครื่องมือที่คนเจนเอ็มใช้เป็นอาวุธประจำกายในการค้นหาข้อมูล ซึ่งคนรุ่นนี้จะไม่จดจำชื่อเว็บไซต์เลย ดังนั้นการทำการตลาดโดยเลือกสื่อออนไลน์ แบรนด์ควรต้องนำกลยุทธ์ SEO มาใช้ เพื่อให้แบรนด์ถูกเสิร์ชเป็นอันดับต้นๆ



โซเชี่ยลมีเดียโดนใจ

เฟซบุ๊ก ยังเป็นสื่อสังคมออนไลน์ที่ครองใจคนกลุ่มนี้ แต่ถ้าเป็นเฟซบุ๊ก แฟนเพจขององค์กรหรือสินค้า คนกลุ่มนี้อาจจะกดไลค์ให้เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่อ่านข้อมูลที่แบรนด์ฟีดมา จะเลือกอ่านเฉพาะต้องการใช้งานเท่านั้น



ส่วนรายการในยูทูบที่คนเจนเอ็มชื่นชอบ จะเป็นรายการนำเสนอเรื่องราวสั้นๆ ง่ายๆ อย่าง ขอ 3 คำ VRZO ชอบคาแร็กเตอร์พิธีกรที่ดูสนุก หรือ เจาะข่าวตื้น



กลยุทธ์ล้วงเงินในกระเป๋าเจนเอ็ม

จากพฤติกรรมความชอบและความสนใจของกลุ่มนี้ สามารถแบ่งกลุ่มเจนเอ็มออกเป็น 4 กลุ่ม 1.กลุ่ม Independent รักชีวิตอิสระ 39% 2.กลุ่ม Conservative ชอบเก็บตัว 26% 3.กลุ่ม Fashionista ชื่นชอบแฟชั่น 18% และ 4.กลุ่มชอบการลงทุน Investor 17%



เทคนิคเข้าถึง กลุ่มลูกค้ารักชีวิตอิสระ Independent สินค้าจะต้องสะท้อนตัวตนของแบรนด์ โดยต้องบ่งบอกคุณสมบัติว่า ช่วยแก้ปัญหาอะไร และตอบโจทย์อะไรอย่างชัดเจน



กลุ่มสอง ชอบชีวิตเรียบง่าย กลุ่มนี้จะเขินอายกับการที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ จะติดเพื่อน เชื่อเพื่อน พฤติกรรมการเลือกซื้อของคนกลุ่มนี้ มักจะเทียบราคาและคุณภาพสินค้าเสมอ แต่ถ้าเชื่อแล้วจะตัดสินใจซื้อเลย



สื่อที่จูงใจคนกลุ่มนี้ คือ ทีวี โดยต้องใช้พรีเซ็นเตอร์ถ่ายทอดเรื่องราวเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ และคล้อยตาม และกลยุทธ์ที่ขาดไม่ได้ คือ บอกต่อแบบเพื่อนบอกเพื่อน (WOM) ใช้ต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพ



กลุ่มแฟชั่นนิสต้า กลุ่มนี้มีนิยามว่า “ติดดารา บ้าแฟชั่น” ชอบความแปลกใหม่ ชอบติดตามเทรนด์ ติดตามดารา



การทำตลาดกับคนกลุ่มนี้ จะต้องใช้ดาราดัง และ Influencer ที่อยู่ในกระแสมาช่วยกระตุ้นต่อมซื้อ เช่น รองเท้านิวบาลานซ์ ใช้ดารา ใช้ชมพู่-อารยา พลอย-เฌอมาลย์ ขึ้นอินสตาแกรม รวมถึงกลยุทธ์การใช้ไวรัลมาร์เก็ตติ้งก็สำคัญสำหรับคนยุคนี้ เช่นกรณีของ "พี่มากพระโขนง" ก็เป็นหนึ่งภาพยนตร์ที่ใช้กลยุทธ์โซเชี่ยลมีเดียจนประสบความสำเร็จ



กลุ่มอินเวสเตอร์ เป็นกลุ่มที่ชื่นชอบการลงทุน พฤติกรรมการซื้อสินค้าจะคิดอย่างรอบคอบ ซื้อเพราะความคุ้มค่า คุ้มราคา โดยนำสินค้าและบริการมาเปรียบเทียบจนกว่าจะแน่ใจ การทำตลาดกับคนกลุ่มนี้จะต้องสร้างมูลค่าสินค้า หรือแบรนด์ให้ชัดเจน



โปรโมชั่นต้องชัดเจน ไม่ซับซ้อน

เมื่อดูจากพฤติกรรมของคนเจนเอ็มแล้ว การทำ “โปรโมชั่น” กับคนกลุ่มนี้ ต้องง่ายไม่ซับซ้อน สื่อสารด้วยข้อความง่ายๆ ชัดเจน เช่น สโลแกน ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น “หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา” และต้องมีเพลงโฆษณามาประกอบ ส่วนแพ็กเกจจิ้งมีสันสดใส และเชื่อมโยงกับสีของแบรนด์ และอย่าลืมบอกคุณสมบัติของสินค้าหรือบริการให้ชัดเจน



นอกจากนี้คนกลุ่มนี้มักใจร้อน เมื่ออยากได้อะไรต้องได้เดี๋ยวนั้น แคมเปญที่ทำออกมาแล้วประสบความสำเร็จ เช่น พิซซ่า คอมปานี ออกโปรโมชั่น ซื้อ 1 แถม 1 หรือกรณีของร้านวัตสัน จัดโปรโมชั่น บอกชัดเจนว่า ซื้อชิ้นนี้ ลดเท่าไหร่ ชิ้นต่อไปจะจ่ายเท่าไหร่



ยุทธศาสตร์ครองใจเจนเอ็ม

ส่วนคนทำงานในธุรกิจต้องคลุกคลีอยู่กับเจนเอ็มมาตลอด อย่าง กฤษฎา ชุณศาสตร์ ผู้จัดการทั่วไปและการตลาด บริษัทมีเดีย ทรานส์เอเชีย จำกัด เจ้าของนิตยสารเซเว่นทีน และ กังสดาล เจริญผล แบรนด์เมเนเจอร์ ของรองเท้า Onitsika Tiger ได้บอกเล่าประสบการณ์ และกลยุทธ์ในการทำตลาดกับกลุ่มเจนเอ็มไว้อย่างน่าสนใจ



ทั้งกฤษฎา และกังสดาล สะท้อนภาพรวมของตลาดเจนเอ็มว่า เป็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าสนใจมาก นอกจากได้เงินจากพ่อแม่แล้ว พวกเขายังต้องการมีธุรกิจของตัวเอง ส่วนใหญ่จะเปิดร้านค้าออนไลน์ขายสินค้าบนเฟซบุ๊ก นิยมสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ ชื่นชอบการเป็นเน็ตไอดอล ถ้าแบรนด์สามารถสื่อสารหรือทำตลาดกับกลุ่มนี้ จะสร้างโอกาสธุรกิจเพิ่มขึ้นได้มาก เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง แต่พฤติกรรมคนกลุ่มนี้ค่อนข้างใจร้อน ขี้เบื่อ ตามกระแสตามเทรนด์ ต้องทันสมัยตลอดเวลา



ที่ผ่านมานิตยสารเซเว่นทีนต้องเตรียมพร้อมให้ทันกับลูกค้าเจนเอ็มตลอดเวลา หนึ่งในกลยุทธ์หลัก คือ การทำโฟกัสกรุ๊ปในกลุ่มนักศึกษาเดือนละครั้ง เพื่อนำข้อมูลพฤติกรรม และความต้องการของลูกค้าเจนเอ็มไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือเนื้อหาให้ทันและเร็วพอกับความต้องการ หรือบางทีต้องนำหน้าเพื่อให้ลูกค้ากลุ่มนี้ รู้เร็ว รู้ก่อน การทำกิจกรรมการตลาดก็เช่นกัน ต้องเลือกทำสิ่งที่ตรงกับความต้องการของคนกลุ่มนี้ เช่น การทำเวิร์คช็อปแฟชั่น หรือให้พิวิเลจ เพื่อให้เขารู้สึกว่าเขาได้รู้ก่อนใคร ดูเป็นคนพิเศษ



เช่นเดียวกับแบรนด์เมเนเจอร์ Onitsika Tiger ก็ต้องติดตามไลฟ์สไตล์ความชอบของลูกค้ากลุ่มนี้ตลอดเวลา เพื่อนำสินค้าเข้ามาตอบสนองให้ตรงกับความต้องการที่หลากหลาย เช่น นำรุ่นรองเท้าที่มีสีสันมาตอบสนองกลุ่มคนที่ชื่นชอบแฟชั่น หรือคนกลุ่มนี้ชื่นชอบตามดาราหรือคนดังในโซเชี่ยลมีเดีย เจ้าของสินค้าก็ต้องนำแบรนด์ไปอยู่ในที่ที่ลูกค้าชื่นชอบ เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม



ส่วนความท้าทายในการทำตลาดเจนเอ็ม ทั้งสองมองว่า ความสนใจของคนเจนเอ็มเปลี่ยนเร็วมาก เพราะคนกลุ่มนี้ชื่นชอบตามเทรนด์ และกระแสยุคนี้มาเร็วไปเร็วมาก ยกตัวอย่าง แอปฯ ติ๊กเกอร์ที่ออกมาดังได้แค่ไม่กี่วัน เวลานี้กระแสก็หายไปแล้ว มาวันนี้ก็ต้องเพลงแน่นอก ของใบเตย กำลังเป็นกระแส หรืออย่าง จุงเบย เวลานี้ก็ไม่พูดกันแล้ว เพราะคนรุ่นนี้มักจะเปิดรับสื่อและกระแสต่างๆ ได้ง่าย แต่ความจงรักภักดีในแบรนด์มีน้อย



การจะสื่อสารทำตลาดกับกลุ่มเจนเอ็มจึงต้องตามให้ทันความชอบ กรณีของนิตยสารเซเว่นทีน ที่กลุ่มเป้าหมายเป็นคนเจนเอ็ม ที่อยู่ในมหาวิทยาลัย คนกลุ่มนี้อยากมีปฏิสัมพันธ์กับทีมงาน จึงต้องมีการจัดโร้ดโชว์ นำมินิสตูดิโอไปตามมหาวิทยาลัยให้รู้จักทีมงาน และวิธีการทำงาน



ส่วน Onitsika Tiger เป็นแบรนด์รองเท้าที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ด้วยการพัฒนาสินค้าให้เหมาะสมกับราคา บางคนอาจมองว่ารองเท้ามีราคาค่อนข้างแพง สิ่งที่แบรนด์ต้องทำ คือ การทำให้ลูกค้าใช้แล้วเกิดความมั่นใจ รักในแบรนด์ จนบอกต่อ ดังนั้นความจริงใจจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างแบรนด์กับลูกค้าเจนเอ็ม



ส่วนข้อควรระวังในการทำตลาดกับลูกค้าเจนเอ็ม ซึ่งเป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว และคนรุ่นนี้คุ้นเคยกับการใช้โลกออนไลน์ ซึ่งเป็นสื่อที่เป็นดาบสองคม เพราะทำให้ลูกค้ามีช่องทางร้องเรียนได้ง่าย และคนเหล่านี้เมื่อเกิดข้อผิดพลาด หรือเกิดความไม่พอใจ พวกเขาจะกล้าร้องเรียนบนสื่อออนไลน์ทันที เป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องระวัง




เคล็ดลับทำตลาดเจนเอ็ม

1. ต้องทำวิจัย หรือทำโฟกัส กรุ๊ปกับคนกลุ่มนี้ตลอดเวลา
2. คนกลุ่มนี้ใช้ชีวิตอยู่กับหน้าจอหลากหลาย เช่น ขณะที่ดูทีวีในมือก็มีแท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน เข้าสู่โลกออนไลน์ตลอดเวลา
3. การทำตลาดคนกลุ่มนี้ต้องมองให้รอบ แบรนด์ต้องเข้าไปในทุกๆ สื่อที่ลูกค้าเจนเอ็มจะไปเจอ
4. ไวรัลมาร์เก็ตติ้ง ยังใช้ได้ดี เช่น ไอศกรีมแม็กนั่ม ที่ประสบความสำเร็จกับการใช้ ไวรัลมาร์เก็ตติ้งบวกกับโซเชี่ยลมีเดีย โดยให้ดาราดังอย่าง ชมพู อนันดา กินแม็กนั่มขึ้นอินสตาแกรม
5. การวางขายสินค้า และการทำโปรโมชั่น ณ จุดขาย ต้องชัดเจน
6. ยุคนี้ต้อง User Generate Content หมดยุค Branded Content ที่แบรนด์นำสินค้าไป Tie-in ในรายการต่างๆ เนื่องจากคนเจนเอ็มสามารถสร้างตัวตนเป็นคนดังในโลกออนไลน์ จนเกิดมีคลิปให้เกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นสิ่งที่แบรนด์และโปรดักต์ต้องทำ คือ การสนับสนุนให้เขามีตัวตน เช่น การส่งเสริมให้มีการจัดประกวดต่างๆ




Tips รับมือเรื่องร้ายๆ บนเฟซบุ๊ก

1. เมื่อมีข้อร้องเรียนเข้ามา ควรใช้ภาษาแบบเพื่อนคุยกับเพื่อน อย่าทำตัวเป็นแบรนด์ ควรทำตัวเป็นบุคคล
2. ให้ยอมรับผิดไว้ก่อน
3. การตอบกลับต้องเร็วที่สุด ถ้าวิกฤติมากๆ ไม่ควรเกิน 30 วินาที
4. อย่าตอบคำถามแบบตอบรวม ต้องตอบทีละคำถาม
5. ให้อินเซนทีฟเพิ่มกับคนที่เข้าต่อว่า

Pick Stocks Like Peter Lynch

นับจากต้นปี 1980 ผู้จัดการกองทุนหนุ่ม ปีเตอร์ ลินซ์ ได้กลายเป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงของโลก จากการเริ่มงานจัดการกองทุน Fidelity Fund ในเดือน may 1977 กองทุนมีขนาดเพียง 20 ล้านเหรียญ ได้กลายเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถเอาชนะตลาดได้เฉลี่ย 13.4% ต่อปี

Lynch ทำได้สำเร็จโดยการใช้หลักการเบื้องต้นพื้นๆ ซึ่งเขายินดีที่จะแชร์ให้กับทุกคน ลินซ์เชื่อมั่นว่านักลงทุนรายย่อยมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าสถาบันใหญ่ๆ เนื่องจากกองทุนขนาดใหญ่ไม่สามารถจะลงทุนได้อย่างเต็มที่ในบริษัทที่มีขนาดเล็ก (ข้อจำกัดเรื่องเปอร์เซ็นต์การถือหุ้น) ซึ่งภายหลังผลประกอบการเข้าตานักวิเคราะห์ กลายเป็นหุ้นบลูชิพ แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือจะลงทุนเพื่อเพิ่มพูนรายได้ ก็สามารถศึกษากลยุทธ์ของลินซ์ได้ครับ…

การลงทุนสไตล์ ปีเตอร์ ลินซ์ ที่เป็นที่พูดถึงกันบ่อยๆ ก็คือ การหาข้อมูลของหุ้นที่เราสนใจผ่านคำบอกเล่าของคนรอบข้าง ยกตัวอย่างเช่น เขามักจะถามภรรยาของตนเองเสมอๆ ว่า ชอบกินขนมอะไร ช็อปปิ้งร้านไหน สินค้าอะไรที่กำลังเป็นที่นิยม สินค้าอะไรที่กำลังเสื่อมความนิยมไปแล้ว หลายครั้งหลายคราการสอบถามภรรยา หรือลูกๆ ของตัวเองกลับได้ข้อมูลที่ดีกว่าการวิเคราะห์แบบเจาะลึกของนักวิเคราะห์ในตลาดหลักทรัพย์เสียอีกครับ

หุ้นที่ปีเตอร์ ลินซ์ เลือกเก็บเข้าพอร์ตนั้นก็มีจำนวนมากมาย บางจังหวะหุ้นในพอร์ตการลงทุนของเขามีมากกว่าพันบริษัท และตัวเขาเองก็จะเป็นผู้หาข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลแทบทุกบริษัทที่ลงทุน ด้วยเหตุนี้เองทำให้ต้องทำงานอย่างหนักมาก ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาให้กับตัวเอง การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวก็คือการใช้ใหมขัดฟัน !!

ผลการลงทุนของปีเตอร์ ลินซ์ ก็แสนจะน่าทึ่งมากครับ ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงใกล้เคียงกับนักลงทุนระดับโลกอย่าง วอเรนต์ บัฟเฟตต์ แต่ปีเตอร์ ลินซ์ ลงทุนในหุ้นที่หลากหลายกว่าบัฟเฟตต์ มาก ทำให้แนวทางการลงทุนนั้นกลายเป็น “ตำนาน” ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์ ลินซ์ ได้เกษียณตัวเองก่อนกำหนด เนื่องจากว่าอยากมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น และต้องการสุขภาพที่ดีกลับคืนมา แนวทางการลงทุนของปีเตอร์ ลินซ์ ผมขอสรุปคร่าวๆ ไว้ดังต่อไปนี้ครับ

ประการแรก… “ซื้อในสิ่งที่เราประทับใจ”

เครื่องมือที่ลินซ์ใช้ในการค้นหาหุ้นคือ “ความคุ้นเคยจากประสบการณ์จริง” ลินซ์มักจะพูดบ่อยๆ ว่าหุ้นจำนวนมากที่เขาค้นพบ และเป็นหุ้นที่ดีนั้น มักจะเจอมันตามร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านขายของชำ หรือพบมันจากการพูดคุยกับเพื่อนฝูง และครอบครัวของเขาเองครับ หากเราปรับแนวคิดนี้มาใช้บ้าง เราก็จะสามารถวิเคราะห์หุ้นในเบื้องต้นจากการดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์ หรือฟังวิทยุ แม้แต่การขับรถไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไอเดียการลงทุนใหม่ๆ ก็จะผุดขึ้นมา ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึก “ประทับใจ” ในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภค นั่นอาจเป็นหุ้นดีก็ได้นะครับ

ประการที่ต่อมา “จงทำการบ้านเรื่องหุ้นอย่างสม่ำเสมอ”

การสังเกต และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่เราสนใจอาจจะยังไม่พอครับ ความคิดที่ดีบางทีต้องผ่านการค้นคว้าอย่างชาญฉลาด พอเราพบเจอหุ้นที่ดีแล้ว การบ้านขั้นต่อมาก็คือ การวิเคราะห์เจาะลึก “พื้นฐาน” ของหุ้น และหาคุณสมบัติของหุ้นคุณค่าให้เจอ โดยปกติแล้ว ลินซ์ จะมีตัวเลขทางการเงินสำหรับใช้ในการวิเคราะห์มากมาย แต่ตัวเลขทางการเงินที่เขาสนใจเป็นพิเศษ มีดังต่อไปนี้ครับ

“ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ยอดขาย”
ถ้าหากมีสินค้าตัวใดที่เตะตาลินซ์ แล้วเขาจะต้องค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ยอดขายจนแน่ใจว่ายอดขายของสินค้านั้นๆ สูงพอที่จะทำกำไร และมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพราะถ้าสินค้าดี แต่มียอดขายเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ก็จะไม่ส่งผลดีต่อยอดกำไรสุทธิของบริษัทนั่นเองครับ

“ค่า PEG Ratio”
ค่าอัตราส่วนนี้เป็นการประเมินอัตราการเติบโตของผลกำไร เพื่อการให้น้ำหนักความคาดหวังในหุ้นตัวนี้ของนักลงทุนโดยทั่วไปครับ ตัวเลขนี้คิดง่ายๆ คือ เอาพีอีมาหารด้วยอัตราการเติบโตของบริษัทครับ ลินซ์ พยายามที่จะไม่หลงประเด็นไม่ซื้อหุ้นพีอีที่สูงเพราะคิดว่ามันแพง เพราะหุ้นบางตัวอาจเป็นหุ้นที่ “แพงถาวร” หมายความว่าหุ้นนั้นเป็น “หุ้นโตไว” หรือหุ้นเติบโตที่มีอัตราการเติบโตที่สูงอยู่ตลอดเวลา หากอัตราการเติบโตสูงกว่าพีอี ค่า “พีอีจี” จะต่ำกว่า 1 เท่า แต่หากอัตราการเติบโตต่ำกว่า ค่านี้จะสูงกว่า 1 เท่าครับ

“ตัวเลขกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง”

ลินซ์จะสนใจเฉพาะบริษัทที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่งเท่านั้น เพราะบางที่ “กำไร” นั้นอาจลวงตา หรือตบตาได้ แต่กระแสเงินสดของกิจการมักจะเป็นของจริงเสมอครับ

“หนี้สินต่อทุนต้องต่ำ”
ลินซ์จะสนใจบริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนต่ำ หากหนี้สินน้อย ก็จะทำให้กระแสเงินสดไหลเข้าสู่บริษัทได้ดีกว่า หนี้สินต่อทุนที่ดีไม่ควรเกิน 1-2 เท่า จำไว้ว่า หนี้สินคือจุดที่กระแสเงินสดไหลออก รายได้คือจุดที่กระแสเงินสดใหลเข้าครับ

โอกาสทอง...จริงหรือ

นับจากช่วงสงกรานต์มา  ข่าวราคาทองคำดำดิ่งเป็นประวัติการณ์ เป็นเรื่องที่เตะตาที่สุดเรื่องหนึ่ง

ที่จริงนั้น ราคาทองคำในตลาดโลก ก็ทำท่าลุ่มๆ ดอนๆ มาตั้งแต่ทำจุดสูงสุดเอาไว้ที่ 1,920 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนด์เมื่อกันยายน 2554

                ตลอด 1 ปีครึ่งมาจนถึงมีนาคม 2556 ทองคำในตลาดโลกก็วนเวียนขึ้นลง 1,520 จนถึง 1,750 (โดยประมาณ) มาแล้ว 3 รอบ

               เป็นที่ทราบกันดีว่า สำหรับประชาชนคนไทยนั้น  นิยมเข้าช้อนซื้อช่วงที่ทองคำถลาลงมา ซึ่งก็ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จดีตลอด 12 ปีที่ทองคำเป็นช่วงวัฎจักรขาขึ้น

                 รวมทั้งการช้อนซื้อตลอด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาด้วย

              กระทั่งช่วงก่อนวันสงกรานต์หนึ่งวัน มีข่าวว่าไซปรัสประเทศหนึ่งในยูโรโซนกำลังเตรียมขายทองคำสำรองส่วนเกินออกมาราว 400 ล้านยูโร (523 ล้านเหรียญสหรัฐ)

              ราคาทองคำในตลาดโลกจึงพุ่งหลาวดำดิ่งชิงหนีก่อนไซปรัสจะดำเนินการ

              ผลก็คือ ราคาทองคำพุ่งหล่นจาก 1,500 เหรียญแบบไม่มีเยื่อใยและไม่เสียเวลาร่ำลาสักคำ

             ช่วงหยุดสงกรานต์ไทยระหว่างที่เราไปสาดน้ำ  ทองคำในตลาดโลกก็ถูกสาดทิ้งลงมาที่ 1,350 เหรียญสหรัฐโดยประมาณ

              เมื่อเปิดทำการหลังสงกรานต์ไทย สมาคมค้าทองคำ (ไทย)  ประกาศราคาทองในประเทศที่ประมาณ 18,900 บาทต่อบาททองคำ ร่วงลงจาก 21,350 ณ วันก่อนสงกรานต์

               และเป็นไปตามคาด ประชาชนไทยจำนวนนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าเข้าสู่ร้านค้าทองเพื่อช้อนซื้อทองกันเนืองแน่นจนเป็นข่าวในสื่อทุกประเภท

                 ไม่ว่าผลลัพธ์ท้ายที่สุด การช้อนซื้อครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ทุกๆ คนคงเริ่มรับรู้แล้วว่า ราคาทองคำก็มีความเสี่ยงและผันผวนรุนแรง

                 วันนี้ผมในฐานะนักวิเคราะห์ รวมทั้งเป็นคนหนึ่งที่จดจำวัฎจักรราคาทองคำในรอบก่อนได้  เมื่อครั้งที่ราคาประมาณ 5,000 บาทและราคาไม่ไปไหนอยู่ร่วม 10 ปี ขอนำข้อมูลบางส่วนเพื่อเป็นวัตถุดิบให้ท่านผู้อ่านนำไปคิดต่อเล่นๆ ดังนี้


                    1.    กลยุทธ์ช้อนซื้อเมื่อราคาลงแรงนั้น ใช้ได้ผลเสมอในวัฎจักรแนวโน้มขาขึ้น และแนวโน้มผันผวนไปด้านข้าง (Sideways)

แต่ถ้าหากกลายเป็นวัฎจักรขาลงระยะยาว การช้อนซื้อระหว่างทางขาลงที่ยังไม่สุดก็มีโอกาสเจ็บตัวหนัก

2.    ย้อนดูจากสถิติในอดีตนั้น วัฎจักรขาขึ้นรอบปี 2513 ถึง 2523 กินเวลาขึ้น 10 ปี จากราคา 35 เหรียญสหรัฐไปสูงสุดที่ 835 เหรียญ

จากนั้นปรับตัวลงช่วงแรกจาก 835 เหรียญลงไป 2 ปีครึ่ง ราคาเหลือ 300 เหรียญ (ลง 64%) มีแรงเด้งโต้คืนเป็นจังหวะแรงๆ เช่นจาก 450 ไป 700 และจาก 300 ไป 500 แต่ท้ายที่สุดไปต่ำสุดจริงๆ ที่ 250 เหรียญในกลางปี 2542

ถ้าช้อนถูกจังหวะก็ได้กำไรเยอะ ถ้าช้อนผิดราคาก็ลึกเร็วครับ

3.    ทองคำนั้นตีมูลค่าด้วยทฤษฎีวิเคราะห์การเงินแบบหุ้นหรือพันธบัตรไม่ได้  เพราะไม่มีปันผลหรือดอกเบี้ย  หรือตัวเลขประกอบธุรกิจอะไร  ราคาตลาดจึงถูกกะเก็งด้วยการอ่านใจ  จากข่าวเศรษฐกิจรวมทั้งท่าทีว่าองค์กรใหญ่ๆ จะซื้อหรือขายทอง หรือใช้การวิเคราะห์กราฟราคา (สมาคมนักวิเคราะห์ฯ เตรียมเปิดหลักสูตรเทคนิค รอฟังข่าว 2-3 เดือนนี้)

หวังว่าคุณผู้อ่านจะชั่งน้ำหนักโอกาสกับความเสี่ยงแล้วตัดสินใจอย่างถูกต้อง

เทคนิคการใช้ Technical Analysis



เทคนิคการใช้ Technical Analysis


นักลงทุนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่พอจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า  การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ก็คือ การวิเคราะห์แนวโน้มหุ้นจากกราฟราคาและปริมาณซื้อขายหุ้น รวมไปถึงกราฟที่เรียกว่า Indicator อีกหลายรูปแบบที่มีนักคิดค้นสร้างสูตรส่วนผสมแล้วเกิดเป็นกราฟที่ช่วยคาดคะเนทิศทาง เช่น RSI MACD ฯลฯ



                ที่จริงนอกจากในตลาดหุ้นแล้ว ในแวดวงตลาดค้าเงินตราต่างประเทศ ตลาดล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย เช่น น้ำมัน ทองคำ ฯลฯ ก็ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง



            จุดสำคัญที่ทำให้บรรดานักวิเคราะห์ นักลงทุน และนักเก็งกำไรจำนวนมากนิยมใช้การวิเคราะห์เทคนิค (ไม่ว่าจะใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน หรือใช้เทคนิคล้วนๆ ก็ตาม)  ก็เนื่องจากสามารถทำนายทิศทางราคาต่อไปข้างหน้าได้พอสมควร บอกบริเวณราคาที่น่าจะมีแรงขายโต้จากแนวต้าน   และบอกราคาที่น่าจะมีคนช่วยกันซื้อจากแนวรับ เป็นต้น



              เรียกว่าฟันธงกันจะๆ โดยใช้ทฤษฎีเก่าแก่ที่นักเทคนิคชั้นนำของโลกเขียนไว้  รวมกับผลการสังเกตการณ์หรือผลทดสอบผลลัพธ์ของการใช้เครื่องมือทางเทคนิคแต่ละชิ้น



             สำหรับในแวดวงตลาดหุ้นไทยนั้น  ผมพบว่ามีการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาแล้วไม่ต่ำกว่า 27 ปี หรืออาจนานกว่านั้นก็ได้ ก่อนที่ผมจะเดินเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย



               ประมาณช่วงปี 2529-2530 วันที่ผมยังทำงานอยู่ที่ธนาคารแห่งหนึ่ง   และเป็นช่วงที่ผมเริ่มต้นลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ๆ   มีนักลงทุนจำนวนหนึ่งในตลาดหุ้นที่ได้สนใจใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้ว



             ขณะที่ผมและเพื่อนๆ ที่ธนาคารก็ได้ใช้เวลาหลังเลิกงานทำการวิเคาะห์งบการเงินของบริษัทหุ้นที่เราสนใจ   และเพื่อความรอบคอบจึงนำข้อมูลวิเคราะห์ทางเทคนิคมาประกอบกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้วย



             สมัยนั้นยังไม่มี Software วิเคราะห์เทคนิคแพร่หลายในไทยแบบทุกวันนี้   ผมต้องเก็บดัชนีตลาดหุ้น  และราคาหุ้นของตัวที่เราสนใจ   และคำนวณหาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่   จากนั้นให้เครื่อง PC ทำเป็นกราฟมานั่งเล็งหาสัญญาณซื้อขายกัน



              ปี 2531 ผมได้เข้ามาทำงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เต็มตัว ก็พบว่า ช่วงนั้นหลายๆ บล.รวมทั้ง บล.ที่ผมทำงานอยู่มีงานวิเคราะห์ทางเทคนิคบริการลูกค้าแล้ว  ด้วย Software Computer ที่ดีขึ้นพอสมควร


             ผมเองเริ่มต้นชีวิตนักวิเคราะห์ด้วยการเป็นนักวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน    แต่มีบางจังหวะของชีวิตทำงานที่ได้รับโอกาสโดดข้ามไปทำงานวิเคราะห์ทางเทคนิคอยู่เต็มๆ ช่วง 2533-2535  ก่อนที่จะโยกกลับมาดูงานวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานควบไปกับการคุมทีมนักวิเคราะห์เทคนิคไปพร้อมกัน



          ชีวิตจึงคุ้นเคยกับบรรดานักวิเคราะห์ทางเทคนิครุ่นแรกๆ มากพอสมควร  และยืนยันได้เลยว่า  ประเทศไทยมีบุคลาการที่มีองค์ความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อเล่นหุ้น ไม่แพ้ประเทศย่านเอเซียด้วยกัน



             ยิ่งในยุค 15 ปีหลังที่บริการข้อมูลวิเคราะห์ทางเทคนิคแพร่หลายมาก  และสะดวกสบายไม่ต้องนั่ง Update  ข้อมูลราคาเข้าไปเอง  ความสนใจและสะดวกใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงแพร่หลายยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะวิ่งแซงหน้าการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานนะครับ



             เพราะในความเป็นจริง การวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานก็แพร่หลายกระจายไปถึงผู้ลงทุนเป็นอย่างมากและมากกว่าทางเทคนิคด้วยซ้ำ  รวมถึงบรรดาผู้ลงทุนก็มีความรู้ความสนใจในการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานยิ่งกว่าในยุคอดีต



                การวิเคราะห์ทางเทคนิค ก็มีทั้งจุดที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างดี และก็มีจุดโหว่บางมุมที่ต้องระวัง  จำเป็นต้องสั่งสมประสบการณ์และความชำนาญจากการเรียนรู้ที่ยาวนานเหมือนๆ กับวิชาความรู้ด้านอื่นๆ



             เทคนิคของการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่อยากนำเสนอกับคุณผู้อ่านหลายท่านที่ยังอยู่ในช่วงแรกๆ ของการฝึกฝนสนใจวิเคราะห์ทางเทคนิค มีดังต่อไปนี้
               1.      ไม่ควรใช้กับหุ้นที่มีการซื้อขายน้อย หรือมีคนคุมเกมราคาได้แนวรับกับแนวต้านจะจะไร้ความหมายทันที ถ้าหุ้นนั้นถูกซื้อขายด้วยนักลงทุนจำนวนน้อย    หรือเป็นหุ้นเล็กที่มีคนปั่นลากไปลากมาได้

หุ้นที่เหมาะกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ หุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าการซื้อขายโดยธรรมชาติมากๆ  และสม่ำเสมอมานาน  การคาดคะเนความคิดของคนส่วนใหญ่มีโอกาสถูกต้องมากขึ้นกว่าการคาดคะเนคนแค่ไม่กี่คน



               2.      ต้องปรับค่าการใช้ให้เหมาะสมกับหุ้นในแต่ละตัว ยกตัวอย่างเช่น  เปิดตำราต่างประเทศเขียนถึง RSI ซึ่งจะมีการบอกว่าระดับ 70% ขึ้นไปเป็นเขต Overbought ส่วน 30% ลงไปเป็นเขต Oversold ต้องไม่นำไปใช้โดยไม่ปรับแต่งหุ้นในประเทศไทยนั้น สวิงสวายยิ่งกว่าหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว  โดยเฉพาะต้นตำรับของตลาดหุ้นสหรัฐ  ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยค่าสถิติเปรียบเทียบ)                   ดังนั้นระดับ Overbought ของหุ้นไทยหลายหุ้น หรือ SET Index จึงอาจวิ่งเกิน 70% ได้เยอะแยะ  และยามดำดิ่งลงต่ำกว่า 30% ได้มากมาย

สิ่งที่ต้องศึกษาคือ  การเปิดกราฟย้อนหลังหลายๆ ปี และจดบันทึกว่า หุ้นตัวนั้นมักจะ Peak ด้วย RSI หรือ Indicators อื่น) แถวไหน เป็นต้น



               3.      ถ้าซื้อด้วยเทคนิค อย่าลืมปิดเกมด้วยเทคนิค

ถ้าคุณตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นใดด้วยสัญญาณทางเทคนิค (ที่วิเคราะห์มาอย่างดีแล้ว)  โดยไม่ได้ให้น้ำหนักกับการพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดทางด้านปัจจัยพื้นฐาน

คุณก็อย่าลืมปิดเกมนั้นด้วยเทคนิคไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนในตอนจบ  โดยเฉพาะตอนขาลงนั้น หลายๆ ครั้งที่หุ้นประเทศไทยสามารถลงได้อย่างลึกล้ำและฉับไว

บรรดามือเก๋าในการเก็งกำไร จะมีจุด Stop loss ซึ่งหมายถึงกัดฟันขายปิดเกมเพื่อไม่ให้ขาดทุนเกินกว่านั้น

สัญญาณขายทางเทคนิคที่อาจจะมาจากการตกแนวรับใหญ่ การตกจากเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้ หรือ MACD ตัดลง ฯลฯ ก็เป็นจุดที่บอกชัดเจนสำหรับการตัดสินใจ



                 4.      อย่าใช้เวลาชั่ววูบในการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

ในฐานะที่เคยรับบทวิเคราะห์ทางเทคนิคมาพอสมควร รวมถึงเป็นผู้สอนวิชาวิเคราะห์ทางเทคนิคมาประมาณกว่า 10 ปี ผมไม่คิดว่าจะสามารถใช้เวลาแค่ 1 นาทีดูกราฟหุ้นตัวที่เราไม่ได้ดูอยู่ประจำ แล้วฟันธง ขายไปเลยครับ  ซื้อไปเลยครับ มันน่าจะมีจุดโหว่เยอะ

ผมยกตัวอย่างคุณมองกราฟรายวันของหุ้นตัวหนึ่ง มีเส้นเฉลี่ย 4 เส้น มี Indicators อีก 3 ตัว คุณย่อมต้องใช้ความคิดพิจารณาระดับหนึ่ง  เช่น พบว่าเป็นสัญญานซื้อ

แต่ถ้าดูภาพที่ใหญ่ขึ้น  โดยเรียกกราฟรายสัปดาห์มาดู ก็พบว่ามีกรอบแนวต้านจากเส้นแนวโน้มใหญ่  หรือมี Peak ที่สำคัญมากเมื่อ 2 ปีก่อน รอจ่อเป็นแนวต้านอยู่สูงขึ้นไปแค่ 3% คุณก็ต้องเปลี่ยนใจเชื่อแนวต้านใหญ่มากกว่า เลยไม่ซื้อ

ดังนั้น แนะนำให้โปรดใช้เวลาพิจารณายาวกว่าชั่ววูบ ไม่ว่าคุณจะนิยามตัวเองเป็นนักเก็งกำไรที่สั้นมากก็ตาม



                  5.      ใช้บทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานช่วยคัดกรองก็น่าจะเป็นประโยชน์การดูบทสรุปของนักวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน ไม่น่าจะทำให้คุณต้องเสียเวลามากนัก ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คุณหลุดเข้าไปเล่นหุ้นที่พื้นฐานธุรกิจไม่เหมาะสมกับราคา รวมถึงหลุดจากบรรดาหุ้นปั่นๆ

กรองขั้นแรกจากนักวิเคราะห์พื้นฐาน  แล้วต่อยอดด้วยสัญญาณเทคนิคที่พิจารณาอย่างดีน่าจะเป็นสูตรสำเร็จที่ดี  เช่นเดียวกับที่ผมได้รับฟังว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็ใช้วิธีนี้

ลงทุนในงานประจำแบบทบต้น

การลงทุนแบบทบต้นนั้นมักจะถูกนำมาเปรียบเปรยกับการลงทุนในหุ้น ตัวอย่างของการลงทุนแบบทบต้นในหุ้น ได้แก่ การลงทุนโดยหวังผลตอบแทนทบต้น 10-20% ต่อปี และทบต้นไปเรื่อยๆ คุณจะพบกับมหัศจรรย์ของการทบต้น คือ เงินลงทุนของเราจะเพิ่มขึ้นอย่าง “ก้าวกระโดด” ในปีท้ายๆ ของการลงทุน
สำหรับคนที่ทำงานประจำ ผมคิดว่าการทำงานประจำก็คล้ายๆ กับการลงทุนแบบทบต้นเหมือนกันครับ เพราะเงินเดือน หรือเงินรายได้ประจำโดยส่วนใหญ่มักจะมีทิศทาง “ขาขึ้น” เพียงทิศทางเดียว จะขึ้นมาก ขึ้นน้อยขึ้นอยู่กับการทำงานประจำของแต่ละท่าน หากบริษัทใดมีทิศทางเงินเดือนเป็น “ขาลง” ผมเข้าใจว่าคงมีน้อยคนที่จะทำงานอยู่กับบริษัทขาลงแน่นอนครับ
คำว่ารายได้จากงานประจำนั้น นอกจากจะมีเป็นประจำอย่าง “สม่ำเสมอ” แล้ว ยังจะ “สูง” ขึ้นเรื่อยๆ ครับ หากเงินเดือนประจำคุณขึ้นปีละ 10% จากฐานเงินเดือน 1 หมื่นบาท จะกลายเป็นเงินเดือน 1.1 หมื่นบาทในปีที่สอง และกลายเป็น 1.21 หมื่นบาทในปีที่ 3 ทบต้นไปเรื่อยๆ ลักษณะคล้ายกับการลงทุนแบบทบต้นอย่างไงอย่างงั้นเลยครับ
สำหรับ “กำไร” ของมนุษย์เงินเดือนนั้นถ้าจะให้เปรียบผมก็ขอเปรียบเทียบกับ “เงินเหลือเก็บ” เดือนไหนค่าใช้จ่ายน้อยก็มีกำไรมาก หรือมีเงินเหลือเก็บมาก เดือนใหนค่าใช้จ่ายมากก็มีกำไรน้อย และอาจมี “กำไรพิเศษ” จากเงินโบนัสซึ่งเกิดขึ้นแค่ไม่กี่ครั้งในหนึ่งปี ซึ่งก็คล้ายๆ กับการลงทุนในหุ้นเลยล่ะครับ
เมื่อเรามีมุมมองเกี่ยวกับการทำงานประจำเหมือนการลงทุนแบบหนึ่งแล้วนั้น การผลิตกระแสเงินสดจากการทำงานประจำผมคิดว่าเป็นแนวทางที่ไม่เลว หากเรายังไม่มีวิธีการผลิตกระแสเงินสดที่ดีกว่านี้ครับ ส่วนตัวผมคิดว่าหากเราต้องการ “เสริมแกร่ง” ให้กับเงินในกระเป๋าเรา เราต้องสร้างผลกำไรให้มากๆ และสม่ำเสมอในแต่ละเดือน นั่นหมายความว่าเราควรควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อให้เหลือเก็บมากๆ และถ้าจะให้ดีกว่านั้นเราควรนำเงินไป “ลงทุน” เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อในระยะยาวครับ
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้อสรุปของแนวคิดนี้ ก็คือ… หากเราลงทุนแบบทบต้นในงานประจำ ยิ่งนานวันเงินเดือนเราจะทบต้นขึ้นเรื่อยๆ ตามฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น และนำเงินเหลือเก็บ หรือกำไรจากงานประจำไปลงทุนแบบทบต้นในหุ้นอีก ทำให้เป็นวินัย สม่ำเสมอ และมีความเพียร ทำได้แบบนี้ “โอกาส” ที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จทางการเงิน ผมคิดว่าไม่ไกลเกินฝันอย่างแน่นอนครับ
เป็นกำลังใจให้คนที่ยังต้องทำงานประจำ และนักลงทุน VI มือใหม่ทุกท่านครับ
(นายแว่นธรรมดา)

วิเคราะห์หุ้น PTTEP

สวัสดีครับมาพบกันสำหรับการวิเคราะห์หุ้น วิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค  
 

 มาคราวนี้จึงขอนำเสนอหุ้นที่เป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนหลายๆ ท่านนั่นคือ PTTEP ซื้อ ราคาเป้าหมาย  ที่182 บาท   

 ลองมาดูมุมมองของหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็งกันครับ

มองข้ามมอนทารา ไปสู่ 2H56 ที่ดีกว่า
ปัจจัยลบจาก  PTTEP การเลื่อนผลิตโครงการมอนทาราเป็นภายใน 2Q56 คาดจะได้ชดเชยจากความเห็นของผู้บริหารว่ายังไม่ความจำเป็นที่จะต้องตัดจำหน่ายเพิ่มเติม เราเชื่อว่าตลาดจะเริ่มมองข้ามไปยังปัจจัยบวกในระยะยาวจากพัฒนาการเชิงบวกของโครงการ Rovuma ใน 2H56 ทำให้เรายังคงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 182 บาท
โครงการมอนทาราคาดเริ่มผลิตใน 2Q56: ผู้บริหารปรับแผนการเริ่มผลิตโครงการมอนทาราออกไปเป็นภายใน 2Q56 แต่ยังมีความพยายามและให้ความสำคัญที่จะให้การผลิตเกิดขึ้นภายเดือนเดือนนี้ โดยระบุว่าเหลือสิ่งที่ต้องดำเนินการมีอีกไม่กี่รายการที่จะต้องทำให้แล้วเสร็จ ส่วนสาเหตุที่โครงการล่าช้ากว่าแผนที่ตั้งไว้เดิมในเดือน ก.พ. เป็นผลจากความเข้มงวดของทีมผู้บริหารและรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นสูงสุด ผู้บริหารเปิดเผยว่าจากข้อมูลล่าสุดยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตัดจำหน่าย impairment ซึงตลาดอาจมองเป็นประเด็นบวก อย่างไรก็ตามเราประเมินอย่างระมัดระวังหากมีความล่าช้าไปในเดือน มิ.ย. อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 100 ล้านเหรียญ และจะมีผลทำให้ผลประกอบการ 2Q56 ลดลง QoQ
ปัจจัยบวกจากโครงการ Rovuma คาดทยอยเข้ามาในช่วง 2H56:  เราเชื่อว่าพัฒนาการจากโครงการ Rovuma Offshore Area 1 จะเป็น catalyst สำหรับ PTTEP ได้ในช่วง 2H56 ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีการค้นพบการไหลของก๊าซเพิ่มเติมในหลุม Orca-1 ซึ่งอยู่นอกเหนือจาก Resource เดิมก่อนที่ PTTEP จะเข้าซื้อ Cove ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำการรับรองปริมาณสำรอง (Reserves Certification) และเจรจาสัญญาขาย LNG ให้กับผู้สนใจรวมถึงไทย ขั้นตอนต่างๆ ดังกล่าวคาดจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2556 และเป็นส่วนหนึ่งก่อนจะมีการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision, FID) และสามรถบันทึกปริมาณปิโตรเลียมสำรองเข้ามาได้ใน1H57 นอกจากนั้นขายสัดส่วน 20% ของผู้ถือหุ้นในโครงการดังกล่าว อาจเป็นปัจจัยบวกหากผู้ร่วมทุนรายใหม่เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการ E&P ชั้นนำของโลกจะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโครงการได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้แม้ PTTEP จะมีสิทธิ์ที่จะซื้อได้ก่อนในราคาเท่ากับข้อเสนอที่ดีที่สุด แต่เราประเมินว่าการเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ PTTEP ให้ความสำคัญในขณะนี้ที่มุ่งความสนใจไปยังโครงการที่สามารถจะช่วยเพิ่มผลประกอบการได้ในระยะเวลาอันใกล้มากกว่า
 แนวโน้มผลประกอบการปกติ 2Q56 อ่อนตัวลงเล็กน้อย QoQ: แนวโน้มผลประกอบการ 2Q56 อ่อนตัวลงเล็กน้อย QoQ จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง แต่ราคาก๊าซที่ไม่มีการปรับอย่างมีนัยสำคัญระหว่างไตรมาส ทำให้ราคาขายเฉลี่ยจะไม่อ่อนลงแรง ปริมาณขายคาดทรงตัว QoQ แม้จะมีการหยุดซ่อมโครงการในพม่า แต่จะได้ชดเชยจากโครงการ MTJDA ที่กลับมาผลิตอย่างเต็มที่หลังหยุดนอกแผนไป 20 วันใน 1Q56 อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิคาดจะลดลง QoQ จากรายการพิเศษที่เกิดจากผลกำไรจากค่าเงินที่มีสูงถึง 95 ล้านเหรียญใน 1Q56 คาดจะไม่เกิดซ้ำในไตรมาสนี้ 
คงคำแนะนำ ซื้อ  : แม้ความไม่แน่นอนจากการเปิดผลิตของโครงการมอนทาราจะยังเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้น แต่เราเชื่อว่าตลาดจะเริ่มมองข้ามไปสู่พัฒนาการเชิงบวกของโครงการ Rovuma ที่คาดจะมีประเด็นเชิงบวกต่อเนื่องใน 2H56 จาก valuation ที่ไม่แพงในปัจจุบัน ด้วย PER 10 เท่าและ PBV 1.7 เท่า เรายังคงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย DCF ที่182 บาท  

เว็บเกี่ยวกับการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค โดยเน้นให้ บุคคลทั่วไปสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

รู้วิธีหาแนวรับแนวต้านด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรออ่านบทวิเคราะห์ ... ราคาหุ้น, เทคนิค, หุ้น, เลือกหุ้น, ซื้อหุ้น, ขายหุ้น, เป้าราคา, วิเคราะห์, เทรนไลน์