Friday, May 24, 2013

Pick Stocks Like Peter Lynch

นับจากต้นปี 1980 ผู้จัดการกองทุนหนุ่ม ปีเตอร์ ลินซ์ ได้กลายเป็นนักลงทุนที่มีชื่อเสียงของโลก จากการเริ่มงานจัดการกองทุน Fidelity Fund ในเดือน may 1977 กองทุนมีขนาดเพียง 20 ล้านเหรียญ ได้กลายเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถเอาชนะตลาดได้เฉลี่ย 13.4% ต่อปี

Lynch ทำได้สำเร็จโดยการใช้หลักการเบื้องต้นพื้นๆ ซึ่งเขายินดีที่จะแชร์ให้กับทุกคน ลินซ์เชื่อมั่นว่านักลงทุนรายย่อยมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าสถาบันใหญ่ๆ เนื่องจากกองทุนขนาดใหญ่ไม่สามารถจะลงทุนได้อย่างเต็มที่ในบริษัทที่มีขนาดเล็ก (ข้อจำกัดเรื่องเปอร์เซ็นต์การถือหุ้น) ซึ่งภายหลังผลประกอบการเข้าตานักวิเคราะห์ กลายเป็นหุ้นบลูชิพ แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือจะลงทุนเพื่อเพิ่มพูนรายได้ ก็สามารถศึกษากลยุทธ์ของลินซ์ได้ครับ…

การลงทุนสไตล์ ปีเตอร์ ลินซ์ ที่เป็นที่พูดถึงกันบ่อยๆ ก็คือ การหาข้อมูลของหุ้นที่เราสนใจผ่านคำบอกเล่าของคนรอบข้าง ยกตัวอย่างเช่น เขามักจะถามภรรยาของตนเองเสมอๆ ว่า ชอบกินขนมอะไร ช็อปปิ้งร้านไหน สินค้าอะไรที่กำลังเป็นที่นิยม สินค้าอะไรที่กำลังเสื่อมความนิยมไปแล้ว หลายครั้งหลายคราการสอบถามภรรยา หรือลูกๆ ของตัวเองกลับได้ข้อมูลที่ดีกว่าการวิเคราะห์แบบเจาะลึกของนักวิเคราะห์ในตลาดหลักทรัพย์เสียอีกครับ

หุ้นที่ปีเตอร์ ลินซ์ เลือกเก็บเข้าพอร์ตนั้นก็มีจำนวนมากมาย บางจังหวะหุ้นในพอร์ตการลงทุนของเขามีมากกว่าพันบริษัท และตัวเขาเองก็จะเป็นผู้หาข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลแทบทุกบริษัทที่ลงทุน ด้วยเหตุนี้เองทำให้ต้องทำงานอย่างหนักมาก ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาให้กับตัวเอง การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวก็คือการใช้ใหมขัดฟัน !!

ผลการลงทุนของปีเตอร์ ลินซ์ ก็แสนจะน่าทึ่งมากครับ ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงใกล้เคียงกับนักลงทุนระดับโลกอย่าง วอเรนต์ บัฟเฟตต์ แต่ปีเตอร์ ลินซ์ ลงทุนในหุ้นที่หลากหลายกว่าบัฟเฟตต์ มาก ทำให้แนวทางการลงทุนนั้นกลายเป็น “ตำนาน” ในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์ ลินซ์ ได้เกษียณตัวเองก่อนกำหนด เนื่องจากว่าอยากมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น และต้องการสุขภาพที่ดีกลับคืนมา แนวทางการลงทุนของปีเตอร์ ลินซ์ ผมขอสรุปคร่าวๆ ไว้ดังต่อไปนี้ครับ

ประการแรก… “ซื้อในสิ่งที่เราประทับใจ”

เครื่องมือที่ลินซ์ใช้ในการค้นหาหุ้นคือ “ความคุ้นเคยจากประสบการณ์จริง” ลินซ์มักจะพูดบ่อยๆ ว่าหุ้นจำนวนมากที่เขาค้นพบ และเป็นหุ้นที่ดีนั้น มักจะเจอมันตามร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านขายของชำ หรือพบมันจากการพูดคุยกับเพื่อนฝูง และครอบครัวของเขาเองครับ หากเราปรับแนวคิดนี้มาใช้บ้าง เราก็จะสามารถวิเคราะห์หุ้นในเบื้องต้นจากการดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์ หรือฟังวิทยุ แม้แต่การขับรถไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไอเดียการลงทุนใหม่ๆ ก็จะผุดขึ้นมา ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึก “ประทับใจ” ในฐานะที่เราเป็นผู้บริโภค นั่นอาจเป็นหุ้นดีก็ได้นะครับ

ประการที่ต่อมา “จงทำการบ้านเรื่องหุ้นอย่างสม่ำเสมอ”

การสังเกต และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่เราสนใจอาจจะยังไม่พอครับ ความคิดที่ดีบางทีต้องผ่านการค้นคว้าอย่างชาญฉลาด พอเราพบเจอหุ้นที่ดีแล้ว การบ้านขั้นต่อมาก็คือ การวิเคราะห์เจาะลึก “พื้นฐาน” ของหุ้น และหาคุณสมบัติของหุ้นคุณค่าให้เจอ โดยปกติแล้ว ลินซ์ จะมีตัวเลขทางการเงินสำหรับใช้ในการวิเคราะห์มากมาย แต่ตัวเลขทางการเงินที่เขาสนใจเป็นพิเศษ มีดังต่อไปนี้ครับ

“ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ยอดขาย”
ถ้าหากมีสินค้าตัวใดที่เตะตาลินซ์ แล้วเขาจะต้องค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ยอดขายจนแน่ใจว่ายอดขายของสินค้านั้นๆ สูงพอที่จะทำกำไร และมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพราะถ้าสินค้าดี แต่มียอดขายเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ก็จะไม่ส่งผลดีต่อยอดกำไรสุทธิของบริษัทนั่นเองครับ

“ค่า PEG Ratio”
ค่าอัตราส่วนนี้เป็นการประเมินอัตราการเติบโตของผลกำไร เพื่อการให้น้ำหนักความคาดหวังในหุ้นตัวนี้ของนักลงทุนโดยทั่วไปครับ ตัวเลขนี้คิดง่ายๆ คือ เอาพีอีมาหารด้วยอัตราการเติบโตของบริษัทครับ ลินซ์ พยายามที่จะไม่หลงประเด็นไม่ซื้อหุ้นพีอีที่สูงเพราะคิดว่ามันแพง เพราะหุ้นบางตัวอาจเป็นหุ้นที่ “แพงถาวร” หมายความว่าหุ้นนั้นเป็น “หุ้นโตไว” หรือหุ้นเติบโตที่มีอัตราการเติบโตที่สูงอยู่ตลอดเวลา หากอัตราการเติบโตสูงกว่าพีอี ค่า “พีอีจี” จะต่ำกว่า 1 เท่า แต่หากอัตราการเติบโตต่ำกว่า ค่านี้จะสูงกว่า 1 เท่าครับ

“ตัวเลขกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง”

ลินซ์จะสนใจเฉพาะบริษัทที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่งเท่านั้น เพราะบางที่ “กำไร” นั้นอาจลวงตา หรือตบตาได้ แต่กระแสเงินสดของกิจการมักจะเป็นของจริงเสมอครับ

“หนี้สินต่อทุนต้องต่ำ”
ลินซ์จะสนใจบริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนต่ำ หากหนี้สินน้อย ก็จะทำให้กระแสเงินสดไหลเข้าสู่บริษัทได้ดีกว่า หนี้สินต่อทุนที่ดีไม่ควรเกิน 1-2 เท่า จำไว้ว่า หนี้สินคือจุดที่กระแสเงินสดไหลออก รายได้คือจุดที่กระแสเงินสดใหลเข้าครับ

No comments:

Post a Comment